วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เอสเตอร์ ซี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

                  เอสเตอร์ ซี  ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
      คอเลสเตอรอล เป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) พบมากในกระแสเลือด และสะสมในเนื้อเยื่อต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์ประสาท       นอกจากนี้ยังจำเป็นสำหรับการสร้างสเตียรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งได้แก่ ฮอร์โมนเพศ หากขาดคอเลสเตอรอลร่างกายจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เลย แต่ถ้ามีในปริมาณ มากเกินไป คอเลสเตอรอลส่วนเกินย่อมเกิดการสะสมในกระแสเลือด ทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตัน นำมาซึ่งโรคเรื้อรังต่างๆ มากมาย
        การรับประทานวิตามิน ซี จะช่วยเปลี่ยนคอเรสเตอรอลส่วนเกิน ให้กลายเป็น กรดน้ำดี และช่วยขับออกนอกร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลลดการอุดตันของคอเรสเตอรอล ในหลอดเลือดได้
        คอเลสเตอรอล  ไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกาย หากมีปริมาณที่มากเกินต้องการจะอยู่ในเลือด  ไม่ได้เก็บสะสมอยู่ในเซลล์ไขมันในร่างกายมากหรือน้อย  อาหารที่มีคอเลสเตอรอลจะเป็นอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น โดยจะอยู่ในรูปของคอเลสเตอรอลอิสระ และที่อยู่รวมกับกรดไขมันเป็นคอเลสเตอรอลเอสเทอร์ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปนี้
        ดังนั้นอาหารที่มาจากสัตว์ถ้ามีไตรกลีเซอร์ไรด์มากก็มักจะมีปริมาณคอเลสเตอรอลตามไปด้วย  และมีปริมาณแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์และส่วนต่างๆ ของร่างกายสัตว์ เช่น หมู มีคอเลสเตอรอลมากกว่าไก่ ปลาสวายมีคอเลสเตอรอลมากกว่าปลาทับทิม และเนื้อส่วนท้องของปลามีคอเลสเตอรอลมากกว่าส่วนอื่นเป็นต้น
         ส่วนของสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลมากคือสมอง เครื่องใน ไข่ หนัง และส่วนที่เป็นไขมัน ถ้ารับประทานเป็นประจำจะมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ส่งผลต่อความผิดปกติของหลอดเลือดและหัวใจปริมาณที่แนะนำให้บริโภคควรไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน



คุณค่าที่เหนือกว่าของ เอสเตอร์ ซี(Ester C)

               โภชนาการที่สมดุล ของ Ester-C 250 
   1. เอสเตอร์-ซี 1 เม็ดให้วิตามินซีสูง 250 mg เท่ากับส้ม 12 ผล    2. ประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีแบบอื่นถึง 4 เท่า
   3. มีไบโอฟลาโวนอยด์สูง ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพวิตามินซี
   4. ดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว และให้ประโยชน์แก่ร่างกายยาวนานกว่า (ปริมาณวิตามินซีที่ดูแลร่างกาย 80% ในขณะที่แบบอื่นมีเพียง 20%)
   5. pH เป็นกลาง ไม่ระคายเคืองกระเพาะ




เอสเตอร์ ซี(Ester C)จากเอลเคน ต่างจาก วิตามินซีแบบเดิม อย่างไร?

        เอสเตอร์ ซี(Ester C)จากเอลเคน ต่างจากวิตามินซีแบบเดิม
        เอสเตอร์ ซี มีคความแตกต่างจากวิตามิน ซี รูปแบบเดิมๆ คือ ไม่มีความเป็นกรด อยู่ในรูปเกลือแคลเซี่ยม แอสคอร์เบต(Calcium Ascorbate) ซึ่งมีความเป็นกลางไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ไม่ทำให้เกิดอาการมวนท้อง และท้องเสีย
        เอสเตอร์ ซี มีความเข้มข้นมากกว่า วิตามิน ซี ทั่วไป ทั้งยังประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไบโอฟลาโวนอยด์(Bioflavonoid) , เอสเพอริดิน คอมเพล็กซ์(Hesperidin Complex) และ รูติน(Rutin) ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึม วิตามิน ซี เข้าสู่ร่างกายและช่วยให้วิตามิน ซี อยู่ในร่างกายได้นานยิ่งขึ้น
      นอกจากนี้ ร่างกายยังสามารถดูดซึมเอสเตอร์ ซี ได้อย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย
                                   ความโดดเด่นของเอสเตอร์ ซี
    1.  มีความเช้มช้นและมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า วิตามิน ซี รูปแบบเดิม
   2. ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วและสามารถเก็บกักอยู่ในร่างกายได้นาน
   3. ไม่ก่อให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ เช่น อาการมวนท้อง ท้องเสีย
   4. ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
   5. ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคนิ่วในไต
   6. มีความคงตัว คุณค่าของวิตามิน ซี ไม่สูญสลายไปดดยง่าย
      สถาบันไลนัส-พอลลิง ประเทศอเมริกา แนะนำว่า ร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี เมื่อบริโภคครั้งละไม่กิน 400 mg
       คำแนะนำการรับประทาน Win Ester-C
       - ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2- 4 เม็ด วันละ 2- 3 ครั้งหลังอาหาร
       - เด็ก ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
     เอสเตอร์ ซี วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ วิตามินซีในขนาดสูงๆ สามารถลด LDL เพิ่ม HDL ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต ยับยั้ง Lipid oxidation ต้นเหตุ ของหลอดเลือดแดงแข็งและเสื่อมสภาพ
   ดูข้อมูลที่  http://estercelken.blogspot.com  
   ปริมาณและราคา
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 30 เม็ด      ราคา     540 บาท
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 60 เม็ด      ราคา  1,030 บาท
   สั่งซื้อที่ คุณ วีระชัย  ทองสา  โทร. 084-6822645 , 085-0250423
          อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com                        


โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันด้วย เอสเตอร์ ซี(Ester C)

                  โรคหัวใจ: หัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
       หัวใจวาย หรือหัวใจล้มเหลว (Heart failure)คือ ภาวะที่หัวใจหยุดทำงาน หรือ หัวใจหยุด หรือหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) จนเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ซึ่งอาจเกิดฉับพลันทันที หรือค่อยเป็นค่อยไป
       สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้หัวใจหยุดทำงานคือ การที่หลอดเลือดหัวใจอุดตัน (จากการเกิดลิ่มเลือดไปอุด) ส่งผลให้ไม่มีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลทำให้เกิดภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้ว หรือ เรียกได้อีกอย่างว่า ภาวะหัวใจเต้นแผ่วระรัว (Cardiac fibrillation) ซึ่งเป็นสาเหตุให้หัวใจเสียการบีบตัว จนไม่สามารถทำหน้าที่ที่เป็นเสมือนปั๊มน้ำได้ จนในที่สุด เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต
      การที่เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันจากลิ่มเลือดนั้น ถึงแม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่เกิดผลร้ายมากนัก นอกเหนือไปจากอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นเวลานาน (ที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Heart attack) แต่บ่อยครั้งก็ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ (ส่วนหนึ่งจะเสียชีวิตฉับ พลันทันที ก่อนที่จะได้พบแพทย์) และถึงแม้ไม่เสียชีวิต ก็อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงและหัวใจวายตามมาได้ ข้อที่น่าสังเกตและเป็นบทเรียนคือ ผู้ที่มีการอุดตันเกิดขึ้นฉับพลัน มักเป็นผู้ที่ไม่เคยมีความเจ็บป่วยร้ายแรงมาก่อน ส่วนใหญ่ไม่เคยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเล็กๆน้อยๆนำมาเลย
       ภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันมีอันตรายอย่างไร?
       หัวใจ เป็นอวัยวะที่มีเซลล์กล้ามเนื้อที่หดตัวบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่าง กาย กล้ามเนื้อหัวใจเหล่านี้ต้องการออกซิเจนและสารอาหารจากเลือดที่ไปเลี้ยงผ่านทางหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเรียกว่า หลอดเลือดโคโรนารี (Coronary artery) กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัวตามการกระตุ้นของกระแสไฟฟ้าภายในหัวใจ ซึ่งจะแผ่ไปในทางเดียวกันและก่อ ให้เกิดการบีบตัวพร้อมๆกันของทุกๆเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อประสิทธิภาพในการผลักส่งเลือด ดังนั้นเมื่อมีภาวะหลอดเลือดโคโรนารีอุดตัน จึงอาจส่งผลให้เกิดความผิด ปกติในการบีบตัวส่งเลือดและในภาวะไฟฟ้าของหัวใจ ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้หัวใจวาย และผู้ป่วยเสียชีวิตได้จาก ภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้วและการบีบตัวที่ไม่มีประสิทธิภาพ
      ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และมีกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไม่เกิดภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้ว แต่ก็ยังคงเกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายไปมากจนกล้ามเนื้อที่เหลืออยู่ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ประมาณว่า ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย (หัวใจมี 4 ห้อง ห้องบน 2ห้อง/ซ้ายและขวา และห้องล่าง 2 ห้อง/ซ้ายและขวา) ซึ่งเป็นห้องสำคัญ ตายไปมากกว่า 40% หัวใจก็ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ความดันเลือดต่ำ และเกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตตามมา ผู้ป่วยบางรายที่รอดชีวิตได้แต่มีการทำงานของหัวใจลดลง ไม่สามารถบีบตัวได้ดีเหมือนเดิม ก็จะมีภาวะหัวใจวาย โดยจะมีอาการเหนื่อยเมื่อมีการออกแรง หรือ ออกกำลัง
     รักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้อย่างไร?
     การคลาย หรือสลายการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจในปัจจุบันเป็นการรักษาที่มีประโยชน์มาก โดยเมื่อมีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อีกครั้งก็จะทำให้กล้ามเนื้อกลับ มาบีบตัวได้ตามปกติ และโอกาสที่จะเสียชีวิตหรือเกิดภาวะหัวใจวายก็จะลดลง
     หัวใจวายคือ การหยุดทำงานของหัวใจและเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต สาเหตุหลักของหัวใจวายในปัจจุบันคือ การมีลิ่มเลือดอุดตันฉับพลันในหลอดเลือดโคโรนารี ทำให้เกิดภาวะไฟฟ้าหัวใจพลิ้วเสียชีวิตฉับพลันได้ หรือเกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจอย่างต่อเนื่องจนไม่มีประสิทธิภาพในการบีบตัวและผู้ป่วยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวายในเวลาต่อมา
        ปัจจุบัน สามารถป้องกันหัวใจวายจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย เอสเตอร์ ซี
   สถาบันไลนัส-พอลลิง ประเทศอเมริกา แนะนำว่า ร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี เมื่อบริโภคครั้งละไม่กิน 400 mg
    คำแนะนำการรับประทาน Win Ester-C:
     - ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2- 4 เม็ด วันละ 2- 3 ครั้งหลังอาหาร
     - เด็ก ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
     เอสเตอร์ ซี วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ วิตามินซีในขนาดสูงๆ สามารถลด LDL เพิ่ม HDL ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต ยับยั้ง Lipid oxidation ต้นเหตุ ของหลอดเลือดแดงแข็งและเสื่อมสภาพ
   ดูข้อมูลที่  http://estercelken.blogspot.com 
   ปริมาณและราคา
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 30 เม็ด      ราคา     540 บาท
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 60 เม็ด      ราคา  1,030 บาท
    สั่งซื้อที่ คุณ วีระชัย  ทองสา  โทร. 084-6822645 , 085-0250423
          อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com



ต้อกระจก ป้องกันและแก้ปัญหาด้วย เอสเตอร์ ซี(ESTER C)

          ต้อกระจก ป้องกันและแก้ปัญหาด้วย เอสเตอร์ ซี(ESTER C)
          ต้อกระจก คือการขุ่นของแก้วตา หรือเลนส์แก้วตา (LENS) ซึ่งโดยธรรมชาติจะมีลักษณะใส โปร่งแสง สามารถหักเหแสงไปรวมกันที่จอรับภาพได้ เมื่อเกิดต้อกระจกแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในตาได้ตามปกติ ทำให้สายตามัวลง
      โรคต้อกระจกที่มีเลนส์ขุ่น ทำให้ภาพที่มองเห็นไม่ชัด ปกติเราจะมองไม่เห็นเลนส์แก้วตา แต่ในคนที่เป็นต้อกระจกมาก ๆ อาจสังเกตเห็นเลนส์แก้วตาขุ่นขาวอยู่ตรงกลางตาดำได้
      สาเหตุของต้อกระจก
      ต้อกระจกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และพบได้ทุกเพศทุกวัย สาเหตุที่พบบ่อยๆ ได้แก่
      1.ต้อกระจกวัยชรา เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดต้อกระจก จากสถิติพบว่า ครึ่งหนึ่งของคนที่มีอายุครบ 60 ปี จะเริ่มมีต้อกระจกเกิดขึ้น แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไปในแต่ละบุคคล สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา
     2.ต้อกระจกที่เกิดจากอุบัติเหตุต่อลูกตา เกิดจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง จากวัตถุมีคมหรือไม่มีคม เช่น โดนมีดปลายแหลม ปลายปากกา ตะปู โดนกำปั้นต่อย โดนลูกบอลหรือลูกเทนนิส
     3.ต้อกระจกที่เกิดร่วมกับโรคทางร่างกายบางโรคเช่นโรคเบาหวาน เกิดตามหลังการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น ยาสเตียรอยด์
     4.ต้อกระจกชนิดที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือเป็นในวัยเด็ก พบตั้งแต่เด็กคลอดออกมา เกิดในกรณีที่ มารดามีไข้ออกผื่นในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
      อาการของโรคต้อกระจก
      ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวแบบค่อยเป็นค่อยไป มองเห็นสีจางลงหรือไม่สดใสเท่าที่เคยเห็น บางคนอาจสังเกตเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือเกิดการพร่าเวลาขับรถตอนกลางคืน โดยเฉพาะเมื่อมีรถยนต์อีกคันเปิดไฟจ้าวิ่งสวนมา
        ต้อกระจกบางชนิดทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น ในระยะแรกๆ ผู้ป่วยจะมองไกลไม่ชัดแต่จะอ่านหนังสือได้ชัดโดยไม่ต้องใส่แว่น เป็นอาการที่เรียกว่า ตากลับทำให้ผูป่วยสูงอายุที่เคยใช้แว่นอ่านหนังสือเข้าใจผิดว่า
สายตาตัวเองดีขึ้น แต่ความจริงแล้วส่วนใหญ่คือเริ่มเป็นต้อกระจก
    ต้อกระจกทำให้ตาบอดได้
    ในกรณีที่ปล่อยทิ้งไว้นาน ต้อกระจกอาจสุก และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น ต้อหิน หรือมีการอักเสบภายในลูกตา ทำให้มีตาแดงและปวดตาอย่างมากต้องรีบลอกต้อกระจกออกทันที ซึ่งหากปล่อยถึงระยะดังกล่าวอาจทำให้เกิดตาบอดได้ การที่ต้อกระจกกลายเป็นต้อหินเพราะต้อกระจกพองตัวไปกดในทางระบายน้ำของลูกตาหรือต้อกระจกละลายตัวแล้วเกิดการอักเสบในลูกตา
     ปัจจุบัน โรคต้อกระจก สามารถป้องกันได้ด้วย ผลิตภัณฑ์ เอสเตอร์ ซี(Ester C)
     สถาบันไลนัส-พอลลิง ประเทศอเมริกา แนะนำว่า ร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี เมื่อบริโภคครั้งละไม่กิน 400 mg
     คำแนะนำการรับประทาน Win Ester-C:
     - ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2- 4 เม็ด วันละ 2- 3 ครั้งหลังอาหาร
     - เด็ก ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
     เอสเตอร์ ซี วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ วิตามินซีในขนาดสูงๆ สามารถลด LDL เพิ่ม HDL ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต ยับยั้ง Lipid oxidation ต้นเหตุ ของหลอดเลือดแดงแข็งและเสื่อมสภาพ
   ดูข้อมูลที่  http://estercelken.blogspot.com 
   ปริมาณและราคา
      - เอสเตอร์ ซี ขนาด 30 เม็ด      ราคา     540 บาท
      - เอสเตอร์ ซี ขนาด 60 เม็ด      ราคา  1,030 บาท
    สั่งซื้อที่ คุณ วีระชัย  ทองสา  โทร. 084-6822645 , 085-0250423
          อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

ไมเกรน (migraine) ป้องกันด้วย เอสเตอร ซี(ESTER C)

       ไมเกรน (migraine) ป้องกันด้วย เอสเตอร์ ซี(ESTER C)
      ไมเกรน (migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง อาการปวดเป็นพักๆ เป็นๆ หายๆมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งประมาณ 8-12 ชั่วโมง บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง
      อาการปวดไมเกรน จะแย่ลงถ้ามีการเคลื่อนไหว ขณะปวดมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มีอาการนำก่อนปวด เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วครู่ ชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย อาการนำมักเป็นอยู่ประมาณ 520 นาที
     โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าชาย เริ่มอาการครั้งแรกในวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว อาการเป็นๆ หายๆ ถี่หรือห่างแล้วแต่บุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อม บางคนอาการจะหายไปเมื่ออายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี
     ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ เสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมากๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้
     สาเหตุของไมเกรน
     สาเหตุและกลไกการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ระยะหลังมานี้มีคณะวิจัยทางด้านจีโนมิกส์ พบว่า ion-transport gene อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไมเกรน พบว่าระบบประสาทของผู้ที่เป็นไมเกรนไวต่อการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เมื่อระบบประสาทมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือด และเส้นประสาทรอบๆ สมอง
      ความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมอง
      อาการปวดศีรษะไมเกรน เดิมเชื่อว่าเกิดจากหลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น
      ปัจจัยการเกิดไมเกรน
      1.อาหาร การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารที่ใส่ผงชูรส ใส่สารถนอมอาหาร อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ สารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น คาเฟอีน ช๊อคโกแล็ต ผงชูรส สารไนเตรท สารไทรามีน
      2.การนอนหลับ การนอนหลับมากหรือน้อยเกินไปสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าฮอร์โมนเมลาโทนินเกี่ยวข้องกับการขยายและหดตัวของหลอดเลือดในสมอง
      3.ฮอร์โมน ผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน และความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าหรือการปวดในช่วงอื่น การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ มักจะทำให้อาการปวดไมเกรนแย่ลง
      4.สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศร้อน ตากแดด กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
      5.ความหิว มีการศึกษาวิจัยพบว่าความหิวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไมเกรนเท่าๆ กับความวิตกกังวล ความโกรธ และภาวะซึมเศร้า
      6.ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดและไม่สามารถจัดการกับความเครียดในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ จะมีโอกาสเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เครียด
    อาการ
    อาการปวดศีรษะในโรคไมเกรนมีลักษณะสำคัญ คือ มักมีอาการปวดข้างเดียว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดตื้อๆ อาการปวดมักเป็นมาก ปานกลาง ถึงรุนแรง และมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการปวดเกิดขึ้นได้แตกต่างกันได้มาก
     ภาวะที่ผู้ป่วยไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้นก็พบได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมีดและเงียบเพราะจะทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น
   ปัจจุบัน สามารถป้องกันอาการไมเกรนได้ด้วย  วิตามิน ซี ที่มีอยู่ใน เอสเตอร์ซี
  ข้อมูลทางการแพทย์ บันทึกไว้ว่า : วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
  ร่างกายรับวิตามินซีได้มากเท่าใด:
   สถาบันไลนัส-พอลลิง ประเทศอเมริกา แนะนำว่า ร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุดจากวิตามินซี เมื่อบริโภคครั้งละไม่กิน 400 mg
    คำแนะนำการรับประทาน Win Ester-C:
     - ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2- 4 เม็ด วันละ 2- 3 ครั้งหลังอาหาร
     - เด็ก ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
     เอสเตอร์ ซี วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ วิตามินซีในขนาดสูงๆ สามารถลด LDL เพิ่ม HDL ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต ยับยั้ง Lipid oxidation ต้นเหตุ ของหลอดเลือดแดงแข็งและเสื่อมสภาพ
   ดูข้อมูลที่  http://estercelken.blogspot.com   
   ปริมาณและราคา
      - เอสเตอร์ ซี ขนาด 30 เม็ด      ราคา     540 บาท
      - เอสเตอร์ ซี ขนาด 60 เม็ด      ราคา  1,030 บาท
    สั่งซื้อที่ คุณ วีระชัย  ทองสา  โทร. 084-6822645 , 085-0250423
          อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com


โรคไข้หวัดใหญ่ ป้องกันและแก้ปัญหาด้วย เอสเตอร์ ซี(Ester C)

                          โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
        โรคหวัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ระบาดได้ตลอดปีมักเกิดในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว
        ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง โดย  
   1. หายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป
   2. สัมผัสกับน้ำมูกและน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย
   3. ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
       อาการ
       ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ คันคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้ ส่วนไข้หวัดใหญ่จะมีไข้หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมาจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ เคืองตา หน้าตาแดง อาการมักจะเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วไข้จะลดลง
      ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด
   1. น้ำตาไหล กลัวแสง หนังตาบวม เยื่อบุตาอักเสบ
   2. ปวดหู หูน้ำหนวก
   3. หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ
   4. ปอดบวม
      ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่
   1. หูน้ำหนวก
   2. หลอดลมอักเสบ
   3. ปอดบวม ปอดอักเสบ
   4. กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
   5. สมองอักเสบ
      การรักษา
   1. พักผ่อนมากๆ และอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
   2. กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรดื่มน้ำมากๆ
   3. ไม่ควรอาบน้ำ แต่ควรเช็ดตัว
   4. ปิดจมูก ปาก เวลาไอหรือจาม และบ้วนน้ำลายลงในภาชนะที่ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค
   5. ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
   6. ควรหยุดพักงานหรือการเรียนชั่วคราว จนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค
      ข้อแนะนำในการป้องกัน
   1. กินอาหารที่เป็นประโยชน์
   2. ออกกำลังกายและพักผ่อนนอนหลับและทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
   3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดยัดเยียด
   4. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
   5. อย่าคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย
       ปัจจุบัน โรคหวัด สามารถป้องกันและแก้ปัญหาได้ด้วย เอสเตอร์ ซี
        คำแนะนำการรับประทาน Win Ester-C
    - ผู้ใหญ่ ครั้งละ 2- 4 เม็ด วันละ 2- 3 ครั้งหลังอาหาร
    - เด็ก ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
      เอสเตอร์ ซี วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบ วิตามินซีในขนาดสูงๆ สามารถลด LDL เพิ่ม HDL ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความดันโลหิต ยับยั้ง Lipid oxidation ต้นเหตุ ของหลอดเลือดแดงแข็งและเสื่อมสภาพ
   ดูข้อมูลที่  http://estercelken.blogspot.com 
   ปริมาณและราคา
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 30 เม็ด      ราคา     540 บาท
     - เอสเตอร์ ซี ขนาด 60 เม็ด      ราคา  1,030 บาท
    สั่งซื้อที่
       คุณ วีระชัย  ทองสา  โทร. 084-6822645 , 085-0250423
               อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com